พรบ. คอมพิวเตอร์ 2550 ทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ต้องรู้
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศโดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมาย ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ“ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้หมายความรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย“ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลาชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์นั้น“ผู้ให้บริการ” หมายความว่า(๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น(๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น“ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่ก็ตาม“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๘ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๑๒ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐(๑) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันทีหรือในภายหลัง และไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท(๒) เป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือการบริการสาธารณะ หรือเป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาทถ้าการกระทำความผิดตาม (๒) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
มาตรา ๑๓ ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(๑) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน(๒) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน(๓) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา(๔) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้(๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑)(๒) (๓) หรือ (๔)
มาตรา ๑๕ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๔
มาตรา ๑๖ ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทำไม่มีความผิด ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือ บุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย
มาตรา ๑๗ ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้นอกราชอาณาจักรและ(๑) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรือ(๒) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษจะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร
หมวด ๒พนักงานเจ้าหน้าที่มาตรา ๑๘ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ เฉพาะที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดและหาตัวผู้กระทำความผิด(๑) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งเอกสาร ข้อมูล หรือหลักฐานอื่นใดที่อยู่ในรูปแบบที่สามารถเข้าใจได้(๒) เรียกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง(๓) สั่งให้ผู้ให้บริการส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการที่ต้องเก็บตามมาตรา ๒๖ หรือที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมของผู้ให้บริการให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่(๔) ทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ จากระบบคอมพิวเตอร์ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณีที่ระบบคอมพิวเตอร์นั้นยังมิได้อยู่ในความครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่(๕) สั่งให้บุคคลซึ่งครอบครองหรือควบคุมข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ ส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่(๖) ตรวจสอบหรือเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด อันเป็นหลักฐานหรืออาจใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือเพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและสั่งให้บุคคลนั้นส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นให้ด้วยก็ได้(๗) ถอดรหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด หรือสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ทำการถอดรหัสลับ หรือให้ความร่วมมือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการถอดรหัสลับดังกล่าว(๘) ยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์เท่าที่จำเป็นเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการทราบรายละเอียดแห่งความผิดและผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๑๙ การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ(๘) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามคำร้อง ทั้งนี้ คำร้องต้องระบุเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลใดกระทำหรือกำลังจะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เหตุที่ต้องใช้อำนาจ ลักษณะของการกระทำความผิด รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดและผู้กระทำความผิด เท่าที่สามารถจะระบุได้ ประกอบคำร้องด้วยในการพิจารณาคำร้องให้ศาลพิจารณาคำร้องดังกล่าวโดยเร็วเมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ก่อนดำเนินการตามคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนาบันทึกเหตุอันควรเชื่อที่ทำให้ต้องใช้อำนาจตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) มอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่มีเจ้าของหรือผู้ครอบครองเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ ณ ที่นั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งมอบสำเนาบันทึกนั้นให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองดังกล่าวในทันทีที่กระทำได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าในการดำเนินการตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ(๘) ส่งสำเนาบันทึกรายละเอียดการดำเนินการและเหตุผลแห่งการดำเนินการให้ศาลที่มีเขตอำนาจภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาลงมือดำเนินการ เพื่อเป็นหลักฐานการทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตรา ๑๘ (๔) ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และต้องไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินกิจการของเจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเกินความจำเป็น การยึดหรืออายัดตามมาตรา ๑๘ (๘) นอกจากจะต้องส่งมอบสำเนาหนังสือแสดงการยึดหรืออายัดมอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐานแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งยึดหรืออายัดไว้เกินสามสิบวันมิได้ ในกรณีจำเป็นที่ต้องยึดหรืออายัดไว้นานกว่านั้น ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอขยายเวลายึดหรืออายัดได้ แต่ศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งรวมกันได้อีกไม่เกินหกสิบวัน เมื่อหมดความจำเป็นที่จะยึดหรืออายัดหรือครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งคืนระบบคอมพิวเตอร์ที่ยึดหรือถอนการอายัดโดยพลัน หนังสือแสดงการยึดหรืออายัดตามวรรคห้าให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๐ ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้อง พร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการระงับการทำให้แพร่หลายนั้นเอง หรือสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ได้
มาตรา ๒๑ ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดมีชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์รวมอยู่ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอให้มีคำสั่งห้ามจำหน่ายหรือเผยแพร่ หรือสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นระงับการใช้ ทำลายหรือแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขในการใช้ มีไว้ในครอบครอง หรือเผยแพร่ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ดังกล่าวก็ได้ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ตามวรรคหนึ่งหมายถึงชุดคำสั่งที่มีผลทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์หรือชุดคำสั่งอื่นเกิดความเสียหาย ถูกทำลาย ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมขัดข้อง หรือปฏิบัติงานไม่ตรงตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือโดยประการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงทั้งนี้ เว้นแต่เป็นชุดคำสั่งที่มุ่งหมายในการป้องกันหรือแก้ไขชุดคำสั่งดังกล่าวข้างต้น ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๒ ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปิดเผยหรือส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ให้แก่บุคคลใดความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการกระทำเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ หรือเป็นการกระทำตามคำสั่งหรือที่ได้รับอนุญาตจากศาลพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดฝ่าฝืนวรรคหนึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๔ ผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ และเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๕ ข้อมูล ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อ้างและรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยานได้ แต่ต้องเป็นชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น
มาตรา ๒๖ ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวัน แต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการ นับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง ความในวรรคหนึ่งจะใช้กับผู้ให้บริการประเภทใด อย่างไร และเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
มาตรา ๒๗ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา ๒๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
มาตรา ๒๘ การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้และความชำนาญเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ และมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอำนาจรับคำร้องทุกข์หรือรับคำกล่าวโทษ และมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในการจับ ควบคุม ค้น การทำสำนวนสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ บรรดาที่เป็นอำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประสานงานกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐมนตรีมีอำนาจ ร่วมกันกำหนดระเบียบเกี่ยวกับแนวทางและวิธีปฏิบัติในการดำเนินการตามวรรคสอง
มาตรา ๓๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็นส่วนสำคัญ ของการประกอบกิจการ และการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมีผู้กระทำด้วยประการใด ๆ ให้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือทำให้การทำงานผิดพลาดไปจากคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือใช้วิธีการใด ๆ เข้าล่วงรู้ข้อมูล แก้ไข หรือทำลายข้อมูลของบุคคลอื่น ในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หรือมีลักษณะอันลามกอนาจาร ย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
บ
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552
วิธีการสร้างบล็อกเกอร์
วิธีการเพิ่มบทความใหม่ในบล็อกเกอร์
ขั้นตอนการเพิ่มบทความใหม่ มีดังนี้
1.เข้าสู่เว็บไซต์ http://www.google.com/
2.ลงชื่อเข้าระบบจากหน้าเว็บไซต์ด้วยบัญชีE-mail ของ http://www.gmail.com/ แล้ว Log in เข้าสู่ระบบ
3.จากนั้นเลือกบัญชีของฉัน
4.แล้วคลิกที่เมนู Blogger จากส่วนที่เป็นผลิตภัณฑ์ของฉัน
5.ไปที่แผงควบคุม หรือ เลือกที่บทความใหม่ได้เลย
6.เมื่อเลือกแล้วจะปรากฎหน้าต่างของการเพิ่มบทความ
7.เข้าสู่การเพิ่มบทความโดยเพิ่มที่ชื่อเรี่อง เนื้อหาบทความตามต้องการ และ ป้ายกำกับ
8.จากนั้นคลิกที่เผยแพร่บทความ
9.ขั้นตอนสุดท้ายคือดูบล็อกที่เราเพิ่มเสร็จแล้ว
ขั้นตอนการเพิ่มบทความใหม่ มีดังนี้
1.เข้าสู่เว็บไซต์ http://www.google.com/
2.ลงชื่อเข้าระบบจากหน้าเว็บไซต์ด้วยบัญชีE-mail ของ http://www.gmail.com/ แล้ว Log in เข้าสู่ระบบ
3.จากนั้นเลือกบัญชีของฉัน
4.แล้วคลิกที่เมนู Blogger จากส่วนที่เป็นผลิตภัณฑ์ของฉัน
5.ไปที่แผงควบคุม หรือ เลือกที่บทความใหม่ได้เลย
6.เมื่อเลือกแล้วจะปรากฎหน้าต่างของการเพิ่มบทความ
7.เข้าสู่การเพิ่มบทความโดยเพิ่มที่ชื่อเรี่อง เนื้อหาบทความตามต้องการ และ ป้ายกำกับ
8.จากนั้นคลิกที่เผยแพร่บทความ
9.ขั้นตอนสุดท้ายคือดูบล็อกที่เราเพิ่มเสร็จแล้ว
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552
ประวัติส่วนตัว

ชื่อนางสาวอัญชลี ดรท้าว
เกิดวันที่ 5 ตุลาคม 2531
อายุ 21ปี
เบอร์โทรศัพท์ 0850119259
บิดาชื่อนายชาญชัย ดรท้าว อายุ47ปี
มารดาชื่อนางสง่า ดรท้าว อายุ 40ปี
อาชีพเกตรกรรม
ภูมิเนา 134หมู่ 5 ตำบลเขวาไร่ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 44140
จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเขวาไร่ศึกษา อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะการบัญชีและการจัดการ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยมหาสาม
คติประจำจัย ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
งานอดิเรก อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูทีวี
สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ นำตก
อนาคต อยากทำงานที่ต้องกับเรียนมา
เกิดวันที่ 5 ตุลาคม 2531
อายุ 21ปี
เบอร์โทรศัพท์ 0850119259
บิดาชื่อนายชาญชัย ดรท้าว อายุ47ปี
มารดาชื่อนางสง่า ดรท้าว อายุ 40ปี
อาชีพเกตรกรรม
ภูมิเนา 134หมู่ 5 ตำบลเขวาไร่ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 44140
จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเขวาไร่ศึกษา อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะการบัญชีและการจัดการ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยมหาสาม
คติประจำจัย ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
งานอดิเรก อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูทีวี
สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ นำตก
อนาคต อยากทำงานที่ต้องกับเรียนมา
ประวัติคณะการบัญชีและการจัดการ
ประวัติ คณะการบัญชีและการจัดการ
คณะการบัญชีและการจัดการ เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้ ระเบียบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่าด้วยคณะการบัญชีและการจัดการ ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2541 มีลักษณะของการดำเนินงานและรูปแบบของการบริหารงานแบบนอกระบบราชการเน้นความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และพึ่งตนเองมากที่สุดในการจัดการศึกษา โดยมีสภามหาวิทยาลัยมหาสารคามทำหน้าที่กำกับดูแลและควบคุม
คณะการบัญชีและการจัดการเริ่มต้นจากภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ ใน ปีการศึกษา 2538 ได้เปิดสอนหลักสูตรบริหารธุรกิจ (ต่อเนื่อง 2 ปี) สาขาวิชาการบัญชี และสาขาวิชาการตลาดขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จากเดิมที่เปิดสอนเฉพาะวิชาโทบริหารธุรกิจ) โดยจัดสอนในวันเสาร์-อาทิตย์ โดยเป็นโครงการพิเศษ ในปีการศึกษา 2540 ได้เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (ต่อเนื่อง 2 ปี) สาขาวิชาการจัดการ และสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตขึ้น พร้อมทั้งปรับปรุงหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (ต่อเนื่อง 2 ปี) สาขาวิชาการบัญชีและสาขาวิชาการตลาดด้วย
ในปีการศึกษา 2546 คณะฯ ได้เปิดสอนหลักสูตรบัญชีบัณฑิต และหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (4 ปี) สาขาวิชาการตลาด สาขาวิชาการจัดการ และสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิตขึ้น
ในปีการศึกษา 2547 คณะฯ ได้เปิดสอนหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (4 ปี) สาขาวิชาธุรกิจระหว่าง ประเทศ (หลักสูตรนานาชาติ) ขึ้นอีกหลักสูตรหนึ่ง พร้อมทั้งมีการปรับปรุง หลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปี และหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตให้มีความทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
ในปีการศึกษา 2548 คณะฯ ได้เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (4 ปี) สาขาวิชาการจัดการทรัพยากร มนุษย์ สาขาวิชาการจัดการการประกอบการ สาขาวิชาการบริหารการเงิน สาขาวิชาการจัดการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ และหลักสูตรเศรษฐศาสตร์บัณฑิต (ศ.บ.) สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ
นอกจากนี้คณะฯ ยังได้เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (M.B.A.) สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ (หลักสูตรนานาชาติ) และเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต (ศ.ม.) สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ และระดับปริญญาเอกหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปร.ด.) สาขาวิชาการบัญชีและสาขาวิชาการจัดการ ขึ้นอีกด้วย
จากวันนั้น ถึงวันนี้คณะการบัญชีและการจัดการได้พัฒนาความก้าวหน้าทั้งทางด้านวิชาการและการ บริหารงานมาโดยตลอด เกือบ 10 ปี ที่ก้าวเดินบนเส้นทางการผลิตบัณฑิต และมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชีและสาขาวิชาบริหารธุรกิจ ทำให้ปัจจุบัน คณะฯ ได้ผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดออกไปรับใช้สังคมในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และระดับประเทศจำนวนมาก ซึ่งบัณฑิตและมหาบัณฑิตของคณะฯ เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในวิชาชีพการบัญชีและบริหารธุรกิจเป็นอย่างดี มีคุณธรรม จริยธรรมที่โดดเด่น และสามารถประยุกต์ความรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และช่วยเหลือ สนับสนุน และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคม และประเทศชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม คณะฯ ได้มีการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถและความเข้าใจในวิทยาการด้านบริหารธุรกิจและด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ คณะฯ ยังได้ให้บริการวิชาการแก่ชุมชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานต่างๆ ในเขตภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ โดยจัดตั้งศูนย์บริการวิชาการ 3 ศูนย์คือ
1.ศูนย์ที่ปรึกษาการประกอบการ (Center for Entrepreneurship and Business Management) มีภาระหน้าที่ให้คำปรึกษาการจัดตั้งและการประกอบการ รวมถึงการบริหารงานของธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดย่อม และขนาดกลาง การจัดองค์กร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการวิจัยตลาด ตลอดจนการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไป และหน่วยงานต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดการธุรกิจ
2.ศูนย์พัฒนาการบัญชี (Center for Accounting Development) มีภาระหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องที่เกี่ยวกับการบัญชีและภาษีอากรโดยเฉพาะ ได้แก่ การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบัญชี การวางระบบบัญชี และการภาษีอากร และการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบัญชี และ การภาษีอากร ตลอดจนการให้บริการเป็นหน่วยตรวจสอบบัญชีของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
3.ศูนย์ที่ปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่ การบริหารระบบคอมพิวเตอร์ การเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์ธุรกิจ และการพัฒนาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ รวมถึงการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆในประเด็นและหัวข้อทาง ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และการใช้ซอฟต์แวร์ทางด้านธุรกิจ`
ปรัชญา ( Philosophy)
คณะการบัญชีและการจัดการ มุ่งเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม พัฒนาความรู้ความสามารถในวิชาชีพ และสร้างสรรค์วิทยาการด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติได้
ปณิธาน (Determination)
คณะการบัญชีและการจัดการ มุ่งสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการที่มีความเป็นเลิศ และผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ เพียบพร้อมด้วยความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ มีความใฝ่รู้ มีความคิดเชิงวิเคราะห์และริเริ่มสร้างสรรค์ มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม และดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
วิสัยทัศน์ (Vision)
คณะการบัญชีและการจัดการ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาชั้นนำ ที่มีความโดดเด่นทางด้านคุณภาพการเรียนการสอน ศักยภาพการพัฒนางานวิจัย และความเป็นเลิศในการบริการวิชาการทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์
พันธกิจ (Mission)
1.ผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ที่มีความเป็นเลิศ มีศักยภาพและเจตนาที่ดีต่อการประกอบอาชีพ รวมทั้งมีความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการอย่างมืออาชีพ เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของสังคม
2.ผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ เพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ และประยุกต์ให้เหมาะกับธุรกิจในท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับสากล รวมถึงการผลิตเอกสารและตำราเรียนที่มีคุณภาพ
3.ให้บริการวิชาการเชิงรุก โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้ และเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินงานตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศ
4.พัฒนานิสิตให้มีความพร้อมด้านคุณธรรม จริยธรรม และบุคลิกภาพ โดยผ่านกระบวนการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมนิสิต เพื่อให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
5.ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ
6.ประยุกต์ใช้ระบบการบริหารจัดการและเทคโนโลยีที่เป็นเลิศภายในองค์กร โดยใช้หลักธรรมมาภิบาล และวัฒนธรรมคุณภาพ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการความรู้ทั่วทั้งองค์กร
ค่านิยมร่วม (Share Values)
คณะการบัญชีและการจัดการ ยึดมั่นในความเป็นมืออาชีพ (Profressionalism) มีสัมพันธภาพที่ดี (Relationship) สร้างสรรค์นวัฒกรรม (Innovation) มุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานอย่างมีความสุข (Devotion) และมีคุณธรรม จริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ (Ethics)
วัตถุประสงค์ (Objectives)
1.เพื่อผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี และระดับบัณฑิตศึกษา ทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ ให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
2.เพื่อบริการวิชาการทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและนอกมหาวิทยาลัย
3.เพื่อสร้างสรรค์งานวิจัยทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์
4.เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรและการทำงานตามหลักการบริหารจัดการที่ดี
คณะการบัญชีและการจัดการ เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้ ระเบียบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่าด้วยคณะการบัญชีและการจัดการ ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2541 มีลักษณะของการดำเนินงานและรูปแบบของการบริหารงานแบบนอกระบบราชการเน้นความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และพึ่งตนเองมากที่สุดในการจัดการศึกษา โดยมีสภามหาวิทยาลัยมหาสารคามทำหน้าที่กำกับดูแลและควบคุม
คณะการบัญชีและการจัดการเริ่มต้นจากภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ ใน ปีการศึกษา 2538 ได้เปิดสอนหลักสูตรบริหารธุรกิจ (ต่อเนื่อง 2 ปี) สาขาวิชาการบัญชี และสาขาวิชาการตลาดขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จากเดิมที่เปิดสอนเฉพาะวิชาโทบริหารธุรกิจ) โดยจัดสอนในวันเสาร์-อาทิตย์ โดยเป็นโครงการพิเศษ ในปีการศึกษา 2540 ได้เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (ต่อเนื่อง 2 ปี) สาขาวิชาการจัดการ และสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตขึ้น พร้อมทั้งปรับปรุงหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (ต่อเนื่อง 2 ปี) สาขาวิชาการบัญชีและสาขาวิชาการตลาดด้วย
ในปีการศึกษา 2546 คณะฯ ได้เปิดสอนหลักสูตรบัญชีบัณฑิต และหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (4 ปี) สาขาวิชาการตลาด สาขาวิชาการจัดการ และสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิตขึ้น
ในปีการศึกษา 2547 คณะฯ ได้เปิดสอนหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (4 ปี) สาขาวิชาธุรกิจระหว่าง ประเทศ (หลักสูตรนานาชาติ) ขึ้นอีกหลักสูตรหนึ่ง พร้อมทั้งมีการปรับปรุง หลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปี และหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตให้มีความทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
ในปีการศึกษา 2548 คณะฯ ได้เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (4 ปี) สาขาวิชาการจัดการทรัพยากร มนุษย์ สาขาวิชาการจัดการการประกอบการ สาขาวิชาการบริหารการเงิน สาขาวิชาการจัดการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ และหลักสูตรเศรษฐศาสตร์บัณฑิต (ศ.บ.) สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ
นอกจากนี้คณะฯ ยังได้เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (M.B.A.) สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ (หลักสูตรนานาชาติ) และเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต (ศ.ม.) สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ และระดับปริญญาเอกหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปร.ด.) สาขาวิชาการบัญชีและสาขาวิชาการจัดการ ขึ้นอีกด้วย
จากวันนั้น ถึงวันนี้คณะการบัญชีและการจัดการได้พัฒนาความก้าวหน้าทั้งทางด้านวิชาการและการ บริหารงานมาโดยตลอด เกือบ 10 ปี ที่ก้าวเดินบนเส้นทางการผลิตบัณฑิต และมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชีและสาขาวิชาบริหารธุรกิจ ทำให้ปัจจุบัน คณะฯ ได้ผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดออกไปรับใช้สังคมในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และระดับประเทศจำนวนมาก ซึ่งบัณฑิตและมหาบัณฑิตของคณะฯ เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในวิชาชีพการบัญชีและบริหารธุรกิจเป็นอย่างดี มีคุณธรรม จริยธรรมที่โดดเด่น และสามารถประยุกต์ความรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และช่วยเหลือ สนับสนุน และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคม และประเทศชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม คณะฯ ได้มีการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถและความเข้าใจในวิทยาการด้านบริหารธุรกิจและด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ คณะฯ ยังได้ให้บริการวิชาการแก่ชุมชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานต่างๆ ในเขตภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ โดยจัดตั้งศูนย์บริการวิชาการ 3 ศูนย์คือ
1.ศูนย์ที่ปรึกษาการประกอบการ (Center for Entrepreneurship and Business Management) มีภาระหน้าที่ให้คำปรึกษาการจัดตั้งและการประกอบการ รวมถึงการบริหารงานของธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดย่อม และขนาดกลาง การจัดองค์กร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการวิจัยตลาด ตลอดจนการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไป และหน่วยงานต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดการธุรกิจ
2.ศูนย์พัฒนาการบัญชี (Center for Accounting Development) มีภาระหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องที่เกี่ยวกับการบัญชีและภาษีอากรโดยเฉพาะ ได้แก่ การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบัญชี การวางระบบบัญชี และการภาษีอากร และการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบัญชี และ การภาษีอากร ตลอดจนการให้บริการเป็นหน่วยตรวจสอบบัญชีของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
3.ศูนย์ที่ปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่ การบริหารระบบคอมพิวเตอร์ การเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์ธุรกิจ และการพัฒนาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ รวมถึงการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆในประเด็นและหัวข้อทาง ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และการใช้ซอฟต์แวร์ทางด้านธุรกิจ`
ปรัชญา ( Philosophy)
คณะการบัญชีและการจัดการ มุ่งเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม พัฒนาความรู้ความสามารถในวิชาชีพ และสร้างสรรค์วิทยาการด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติได้
ปณิธาน (Determination)
คณะการบัญชีและการจัดการ มุ่งสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการที่มีความเป็นเลิศ และผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ เพียบพร้อมด้วยความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ มีความใฝ่รู้ มีความคิดเชิงวิเคราะห์และริเริ่มสร้างสรรค์ มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม และดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
วิสัยทัศน์ (Vision)
คณะการบัญชีและการจัดการ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาชั้นนำ ที่มีความโดดเด่นทางด้านคุณภาพการเรียนการสอน ศักยภาพการพัฒนางานวิจัย และความเป็นเลิศในการบริการวิชาการทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์
พันธกิจ (Mission)
1.ผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ที่มีความเป็นเลิศ มีศักยภาพและเจตนาที่ดีต่อการประกอบอาชีพ รวมทั้งมีความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการอย่างมืออาชีพ เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของสังคม
2.ผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ เพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ และประยุกต์ให้เหมาะกับธุรกิจในท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับสากล รวมถึงการผลิตเอกสารและตำราเรียนที่มีคุณภาพ
3.ให้บริการวิชาการเชิงรุก โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้ และเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินงานตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศ
4.พัฒนานิสิตให้มีความพร้อมด้านคุณธรรม จริยธรรม และบุคลิกภาพ โดยผ่านกระบวนการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมนิสิต เพื่อให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
5.ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ
6.ประยุกต์ใช้ระบบการบริหารจัดการและเทคโนโลยีที่เป็นเลิศภายในองค์กร โดยใช้หลักธรรมมาภิบาล และวัฒนธรรมคุณภาพ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการความรู้ทั่วทั้งองค์กร
ค่านิยมร่วม (Share Values)
คณะการบัญชีและการจัดการ ยึดมั่นในความเป็นมืออาชีพ (Profressionalism) มีสัมพันธภาพที่ดี (Relationship) สร้างสรรค์นวัฒกรรม (Innovation) มุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานอย่างมีความสุข (Devotion) และมีคุณธรรม จริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ (Ethics)
วัตถุประสงค์ (Objectives)
1.เพื่อผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี และระดับบัณฑิตศึกษา ทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ ให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
2.เพื่อบริการวิชาการทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและนอกมหาวิทยาลัย
3.เพื่อสร้างสรรค์งานวิจัยทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์
4.เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรและการทำงานตามหลักการบริหารจัดการที่ดี
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
อาหารภาคเหนือ
ขนมจีนน้ำเงี้ยว
เครื่องปรุง
ซี่โครงหมู ตัดเป็นชิ้น 1x1 นิ้ว (ต้มให้นุ่ม) ½ กิโลกรัม
เลือดหมู หั่นสี่เหลี่ยม½ x½ นิ้ว ½ มะเขือเทศลูกเล็ก ผ่าครึ่ง ½ กิโลกรัม
เครื่องปรุง
ซี่โครงหมู ตัดเป็นชิ้น 1x1 นิ้ว (ต้มให้นุ่ม) ½ กิโลกรัม
เลือดหมู หั่นสี่เหลี่ยม½ x½ นิ้ว ½ มะเขือเทศลูกเล็ก ผ่าครึ่ง ½ กิโลกรัม
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุป (น้ำต้มกระดูกหมู กรองเอาเฉพาะน้ำ) 6 ถ้วย
เครื่องแกง
พริกแห้ง 7 เม็ด
รากผักชีหั่นฝอย 1 ช้อนชา
ข่าหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
ข่าหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
ตะไคร้ซอย 2 ช้อนชา
กะปิ 2 ช้อนชา
หอมแดง 7 หัว
กระเทียม 3 หัว
วิธีทำ
1. โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด นำลงผัดในน้ำมันพืช พอหอม ใส่หมูสับ
2. เทลงในหม้อน้ำต้มกระดูกหมู ใส่ซี่โครงหมู แล้วใส่เลือดหมู และมะเขือเทศ
3. ปรุงรสด้วยเกลือ พอเดือดอีกครั้ง ยกลง เสร็จขั้นตอนทำน้ำเงี้ยว
4. จัดขนมจีนใส่จานพร้อมเครื่องเคียง ราดด้วยน้ำเงี้ยวที่ทำไว้
* รับประทานกับแคบหมู ผักกาดดอง ถั่วงอก ต้นหอม ผักชี พริกทอด กระเทียมเจียว *
พริกแห้ง 7 เม็ด
รากผักชีหั่นฝอย 1 ช้อนชา
ข่าหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
ข่าหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
ตะไคร้ซอย 2 ช้อนชา
กะปิ 2 ช้อนชา
หอมแดง 7 หัว
กระเทียม 3 หัว
วิธีทำ
1. โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด นำลงผัดในน้ำมันพืช พอหอม ใส่หมูสับ
2. เทลงในหม้อน้ำต้มกระดูกหมู ใส่ซี่โครงหมู แล้วใส่เลือดหมู และมะเขือเทศ
3. ปรุงรสด้วยเกลือ พอเดือดอีกครั้ง ยกลง เสร็จขั้นตอนทำน้ำเงี้ยว
4. จัดขนมจีนใส่จานพร้อมเครื่องเคียง ราดด้วยน้ำเงี้ยวที่ทำไว้
* รับประทานกับแคบหมู ผักกาดดอง ถั่วงอก ต้นหอม ผักชี พริกทอด กระเทียมเจียว *
อาหารเหนือ
แกงฮังเล
เครื่องปรุง
เนื้อหมูสันนอก 1 กิโลกรัม
หมูสามชั้น 500 กรัม
น้ำพริกแกงเผ็ด 11/2 ขีด
เกลือป่น และซีอิ๊วดำ อย่างละ 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงซอย หัวหอม กระเทียม อย่างละ 1 ขีด
กระท้อนเปรี้ยวสับ 1 ถ้วย
น้ำตาล 5 ช้อนโต๊ะ
มะขามเปียก 1 ถ้วย
น้ำซุป 4 ถ้วย
วิธีทำ
1. หั่นหมูทั้งสองอย่างเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม 2x2 นิ้ว คลุกด้วยพริกแกงเผ็ด ผงฮังเล ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว น้ำปลา และเกลือ หมักไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง
2. นำหมูที่หมักไว้ใส่หม้อตั้งไฟร้อนปานกลาง คนตลอดเวลา 30 นาที
3. ใส่กระท้อนสับ คนต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
4. น้ำตาลอ้อย คนต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
5. ใส่มะขามเปียก คนต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
6. ใส่ขิงซอย หัวหอม กระเทียม คนให้เข้ากัน
7. ใส่น้ำซุป 3 - 4 ถ้วย คนให้เข้ากัน ตั้งไฟอ่อน 1 ชั่วโมง จนเปื่อยได้ที่ ชิมดู อาจเติมน้ำปลาเพิ่มเติม
เครื่องปรุง
เนื้อหมูสันนอก 1 กิโลกรัม
หมูสามชั้น 500 กรัม
น้ำพริกแกงเผ็ด 11/2 ขีด
เกลือป่น และซีอิ๊วดำ อย่างละ 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงซอย หัวหอม กระเทียม อย่างละ 1 ขีด
กระท้อนเปรี้ยวสับ 1 ถ้วย

น้ำตาล 5 ช้อนโต๊ะ
มะขามเปียก 1 ถ้วย
น้ำซุป 4 ถ้วย
วิธีทำ
1. หั่นหมูทั้งสองอย่างเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม 2x2 นิ้ว คลุกด้วยพริกแกงเผ็ด ผงฮังเล ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว น้ำปลา และเกลือ หมักไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง
2. นำหมูที่หมักไว้ใส่หม้อตั้งไฟร้อนปานกลาง คนตลอดเวลา 30 นาที
3. ใส่กระท้อนสับ คนต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
4. น้ำตาลอ้อย คนต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
5. ใส่มะขามเปียก คนต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
6. ใส่ขิงซอย หัวหอม กระเทียม คนให้เข้ากัน
7. ใส่น้ำซุป 3 - 4 ถ้วย คนให้เข้ากัน ตั้งไฟอ่อน 1 ชั่วโมง จนเปื่อยได้ที่ ชิมดู อาจเติมน้ำปลาเพิ่มเติม
แนะนำสาขา
ชื่อนางสาวอัญชลี ดรท้าว
นิสิตสาขาการตลาดเหตุผลที่เลือกเรียนสาขานี้เพราะว่ามีความชอบ
ในประกอบอาชีพเกี่ยวกับการตลาด และการได้เข้ามาเรียนทำให้มีความรู้
มากขึ้นและอาจารย์ก็มีการเอาใจใส่นิสิตเป็นอย่างดี
และเป็นสาขาที่เรียนไม่ยาก
นิสิตสาขาการตลาดเหตุผลที่เลือกเรียนสาขานี้เพราะว่ามีความชอบ
ในประกอบอาชีพเกี่ยวกับการตลาด และการได้เข้ามาเรียนทำให้มีความรู้
มากขึ้นและอาจารย์ก็มีการเอาใจใส่นิสิตเป็นอย่างดี
และเป็นสาขาที่เรียนไม่ยาก
แนะนำตัวเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)